วัดพระบาทน้ำพุ หรือ วัดพระพุทธบาทประทานพร มีพระอาทรประชานาถ เป็นเจ้าอาวาส วัดแห่งนี้มีรอยพระพุทธบาท และ เป็นสถานรักษาพักฟื้นผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยโรคเอดส์ และเป็นที่ตั้งของมูลนิธิธรรมรักษ์
วัดพระบาทน้ำพุ เริ่มต้นรับรักษาและพักฟื้นผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยโรคเอดส์ เมื่อปี2535 มีผู้ที่วัดต้องดูแล2,000คน เป็นเด็กกำพร้า1,300คน วัดมีค่าใช้จ่าย ประมาณ 4 ล้านบาท/เดือน บางช่วงค่าใช้จ่ายก็ไม่เพียงพอ
พระอุโบสถของวัดสร้างเลียนแบบโบสถ์ ในคริสต์ศาสนา ภายในประดิษฐาน พระพุทธนฤมลธรรมโมภาส เป็นพระประธาน บริเวณฐานชุกชีก็มีลักษณะเหมือนที่ตั้งไม้กางเขนแบบโบสถ์คริสต์
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ไม่ปรากฎว่าสร้างในสมัยใด แต่วิหารหลวงภายในวัด สร้างในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ เป็นวิหารขนาดใหญ่มาก ประตูทำเป็นเหลี่ยมแบบไทย หน้าต่างเจาะช่องทำเป็นแบบโกธิค ของฝรั่งเศส
เมื่อเข้ามาในบริเวณวัด จะพบศาลาเปลื้องเครื่องเป็นอันดับแรก ศาลาเปลื้องเครื่องใช้เป็นที่สำหรับ พระเจ้าแผ่นดิน เปลื้องเครื่องทรง ก่อนที่จะเข้าพิธีทางศาสนาในพระวิหาร หรือพระอุโบสถ
วัดกวิศรารามราชวรวิหาร เดิมชื่อ วัดขวิด สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงสร้าง ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรง สถาปนาใหม่ พระราชทานนามว่า วัดกรวิศยาราม จนเปลี่ยนมาเป็น วัดกวิศรารามในปัจจุบัน
วัดกวิศรารามราชวรวิหาร (อารามหลวงแห่งเมืองลพบุรี) เป็นพระอารามหลวง ชั้นตรี อันดับ 1 ชนิดราชวรวิหาร ตั้งอยู่บนถนนพระเพทราชา ตำบลท่าหิน อำเภอเมืองลพบุรี วัดกวิศราราม แปลว่า วัดของพระเจ้าแผ่นดิน
วันที่ 9 ตุลาคม ปีพุทธศักราช 2519 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงเสด็จพระราชดำเนิน มายัง วัดกวิศรารามราชวรวิหารเป็นการส่วนพระองค์ ได้นำมาซึ่งความปลาบปลื้มแก่ชาวลพบุรี เป็นอย่างมาก
ศาลลูกศรหรือลูกศรพระราม เป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนา ของชาวไทยเชื้อสายจีน ในจังหวัดลพบุรี ภายในศาลจะมีหินสีดำแช่น้ำไว้ กล่าวกันว่าเป็นศรของพระราม ถ้าน้ำที่อยู่รอบก้อนหินแห้งไป ก็จะเกิดไฟไหม้ในลพบุรี
วัดเจริุธรรม(ถ้ำภูตอง) เป็นวัดสายวิปัสนาธรรม มีพระอุโบสถตั้งอยู่บนภูเขา มีลานปฎิบัติธรรมอยู่เชิงเขา เหมาะแก่การปฎิบัติธรรม ทางวัดเปิดให้มีการปฎิบัติธรรม ตลอดปี แต่ต้องอยู่ในกฏ ระเบียบ ของวัด
วัดนี้แต่เดิม เรียกว่า วัดเขาพระงาม ต่อมาเมื่อพ.ศ.2466 ในงานผูกพัทธสีมา กลางเดือน4 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเยี่ยม และทรงพระราชทานพระราชหัตถเลขานามว่า วัดสิริจันทรนิมิตรวรวิหาร สืบมา
พระพุทธปฎิภาคมัธยมพุทธกาล เป็นพระพุทธรูปหน้าตักกว้าง 11วา สูงจากหน้าตักถึงยอดพระเศียร 18วา เป็นพระพุทธรูปที่มีลักษณะงดงาม เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวเมืองลพบุรี และจังหวัดใกล้เคียงเคารพศรัทธา
สำนักสงฆ์ถ้ำกระบอกก่อตั้งเมื่อปี2500 โดยหลวงพ่อใหญ่ พระอาจารย์จำรูญและพระอาจารย์เจริญ ปานจันทร์ พระอาจารย์จำรูญได้บริหารงานบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด จนเมื่อปี2518 ได้รับรางวัลแมกไซไซ สาขาบริการสาธารณะ
เทวาลัย พระพรหม สร้างเมื่อปี 2551 ในโอกาสที่ระลึก 80 ปี พระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมโม) วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี เสร็จสมบูรณ์ เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2551
สังเกตดูรอบๆ เทวาลัย พระพรหม มีรูปปั้นสิงห์สาราสัตว์เยอะแยะไปหมด มีช้าง มีม้า มีม้าลาย มีไก่ ช้าง&ม้า มีเยอะสุด สงสัยคงจะบนบานศาลกล่าวแล้วนำมาแก้บนใครอยากประสบความสำเร็จลองบนดู แล้วมาแก้บนด้วยล่ะคับ
วัดราชบูรณะ สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่2 หรือเจ้าสามพระยา ในปีพ.ศ.1967 ในบริเวณที่ถวายพระเพลิงศพ เจ้าอ้ายพระยาและเจ้ายี่พระยา พระเชษฐา ที่สิ้นพระชนม์จากการทำยุทธหัตถี เพื่อแย่งชิงราชสมบัติ
ปี พ.ศ.2500 มีขโมยกลุ่มใหญ่ ลักลอบมาขุดกรุวัดราชบูรณะตอนกลางคืน พบเครื่องทองและอัญมณีจำนวนมาก เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตามจับและยึดของกลาง ได้บางส่วน ได้ทองคำประมาณ100กิโล (1ใน10ส่วนที่ได้คืนมา)
วัดมณีชลขัณฑ์เป็นวัดเก่าแก่ เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ เดิมชื่อวัดเกาะแก้ว เนื่องจากที่ตั้งวัด อยู่กลางแม่น้ำลพบุรี มีลักษณะเป็นเกาะ สันนิษฐานว่าสร้างในสมัย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
เจดีย์หลวงพ่อแสง เป็นเจดีย์สี่เหลี่ยม ย่อมุมไม้สิบสองทรงสูงชลูด ฐานขนาด 15.40เมตร ทำเป็น 3ชั้น มีซุ้มประตูยอดแหลมอยู่ด้านข้างทั้ง4ด้าน ชั้นที่4เป็นองค์ระฆัง ส่วนยอดทำเป็นแท่นบัลลังก์ และปล้องไฉนขึ้นไป
เจดีย์หลวงพ่อแสง มีผู้ให้สมญานามว่า หอเอนเมืองลพบุรี สร้างโดยหลวงพ่อแสง หลวงพ่อแสงสร้างเจดีย์ความสูง5-6ชั้น โดยไม่ใช้นั่งร้าน สร้างเสร็จแล้วก็กระโดดลงมาแล้วก็หายตัวไป
วัดหน้าพระเมรุ เดิมชื่อ วัดพระเมรุราชการาม ไม่ปรากฎว่าสร้างเมื่อใด แต่สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นเพื่อถวายพระเพลิงกษัตริย์องค์ใดองค์หนึ่ง เป็นวัดเดียวที่ไม่โดนพม่าทำลาย เพราะพม่าตั้งกองบัญชาการที่วัดนี้
มีลายแทงโบราณเขียนไว้ ว่าในบริเวณวัด มีสมบัติฝังอยู่ 16 จุด มีเจ้านายพระองค์หนึ่ง มาขุดหาสมบัติ แต่ก่อนจะเจอสมบัติ จะได้ยินเสียงแผ่นดินไหวเหมือนมีตัวอะไรเคลื่อนอยู่ใต้ดิน สมบัติย้ายที่ไปตลอด
มีหลายคนมาขุดหาสมบัติที่วัดนี้ แล้วเจอ ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ มาปรากฎให้เห็น เป็นรูปร่างนักรบไทยโบราณ ร่างใหญ่โต แต่ไม่มีหัว
วัดกุฎีดาว สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้รับการปฎิสังขรณ์ในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ประมาณปี พ.ศ.2254-6 วิหารขนาดใหญ่ มีความงามแบบอยุธยาตอนปลาย คือมีฐานแอ่นกลางและเจดีย์ทรงกลมเสาขนาน
วัดมหาธาตุ เป็นวัดที่มีความสำคัญในสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นวัดที่ประดิษฐานพระบรมธาตุ ใจกลางพระนคร และยังเป็นที่พำนักของ สมเด็จพระสังฆราช ฝ่ายคามวาสี วัดได้รับการดูแล จนถูกทำลายลงหลังเสียกรุงครั้งที่ 2
วัดชุมพลนิกายาราม สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2175 โดยพระเจ้าปราสาททอง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น ตรงบริเวณเคหสถานเดิมของพระมารดา พระราชทานชื่อว่า "วัดชุมพลนิกายาราม"
ถ้าจะข้ามมาวัดนิเวศธรรมประวัติ จากฝั่งพระราชวังบางปะอิน ต้องนั่งกระเช้าข้ามมา ไม่เสียค่าข้ามฟาก แต่มีกล่องรับบริจาคอยู่ด้านฝั่งวัด ไหนๆนั่งข้ามมาแล้ว ก็ช่วยค่าไฟเค้าหน่อยคับ
วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร สร้างโดย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้เป็นสถานที่สำหรับบำเพ็ญพระราชกุศล เป็บโบสถ์ฝรั่ง ศิลปะแบบโกธิค (Gothic)
ฝาผนังโบสถ์ด้านหน้าของพระประธาน มี พระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 5 ประดับด้วยกระจกสี จากฝรั่งเศส จะมองจากด้านนอกไม่เห็น จะเห็นเฉพาะภายในโบสถ์
ก่อตั้งเมื่อปีพ.ศ.2414 ใช้เวลาก่อสร้าง 8 ปีกว่าจึงแล้วเสร็จ ลักษณะเป็นสถาปัตยกรรมแบบจีนตอนใต้ ของสกุลช่างแต้จิ๋ว ชื่อวัดมังกรกมลาวาส ได้รับพระราชทานจาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่5
วัดไชโยวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นโท มหานิกาย เป็นสถานที่ประดิษฐาน พระมหาพุทธพิมพ์ พระพุทธรูปปางสมาธิ ที่สร้างโดย สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)
มีความเชื่อว่า ชายหญิงที่รักกัน จะมาอธิษฐานขอให้ความรักสมหวัง โดยเขียนชื่อตนกันคนที่รักไว้บนว่าว แล้วแขวนไว้บริเวณศาล โดยเชื่อว่าเจ้าแม่สามมุกจะดลบันดาลให้ทุกคู่สมหวังในความรัก และไม่พลัดพรากจากกัน
สมัยอยุธยาตอนปลาย ณ ตำบลอ่างศิลา แสนและสามมุขได้รู้จัก และรักกัน เมื่อพ่อของแสนรู้จึงกีดกัน และจับแสนแต่งงานกับหญิงคนอื่น สามมุขจึงปีนหน้าผาและโดดลงไป แสนรู้เรื่องจึงได้โดดหน้าผาตายตามคนรักไปอีกคน
วิหารเทพสถิตพระกิติเฉลิม ได้รับพระราชทานนามจาก สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งมีความหมายว่า เป็นที่สถิตของทวยเทพเจ้าทั้งหลาย
ศาลเจ้าหน่าจาซาไท้จื้อ สร้างโดยท่านอาจารย์สมชาย เฉยศิริ เพื่อเฉลิมพระเกียรติครบรอบ 72 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยศาลเจ้า มีเนื้อที่ 4 ไร่ เนื้อที่รอบๆศาลเจ้าอีกกว่า 8ไร่
ในวัดมีเทพเจ้าทั้งหมด58องค์ แต่เทพเจ้าที่นิยมกราบไหว้บูชาขอพรคือ เทพเจ้าแห่งโชคลาภ"ไฉ่ซิ้งเอี๊ยะ" เทพเจ้าเฮ่งเจีย"ไต่เสี่ยฮุกโจ้ว" พระโพธิสัตว์กวนอิม"กวนอิมผู่สัก" พระเมตไตรยโพธิสัตว์"ปู้กุ่ยฮุกโจ้ว"
วัดไชโยวรวิหาร เดิมเป็นวัดราษฏร์โบราณ สมัยรัชกาลที่ 4 สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) แห่งวัดระฆังโฆสิตาราม ได้สร้างพระพุทธรูปปางสมาธิองค์ใหญ่ เป็นปูนขาวไม่ปิดทองไว้กลางแจ้ง ณ วัดแห่งนี้
ปี 2430สมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์ได้เสด็จมานมัสการ และโปรดเกล้าฯให้ปฏิสังขรณ์วัดไชโย ระหว่างลงรากพระวิหารทำให้ องค์หลวงพ่อโต พังลงมา จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างหลวงพ่อโตขึ้นใหม่ ตามแบบ หลวงพ่อโต วัดกัลยาณมิตร
พระมหาพุทธพิมพ์ หน้าตักกว้าง16.10ม. สูง22.65ม. สร้างพระวิหารเป็นเรือนองค์พระพุทธรูป ความสูง 1 เส้นเศษ สร้างพระอุโบสถเป็นมุข ลดยื่นออกมาข้างหน้า เสร็จสมบูรณ์ปีมะแม 2438 รวมเวลาปฎิสังขรณ์นาน 8 ปี
ศาลเจ้ากวนอู สร้างโดยพระยาอาชาชาติ (เจ้าพระยาคลัง) เมื่อปี 2435 คนที่มาไหว้ศาลเจ้ามี 3 แบบ วัยรุ่นจะขอเรื่องความรัก&เรียน วัยกลางคนจะขอเรื่องค้าขาย คนสูงวัยจะขอเรื่องสุขภาพ *เจ้าพ่อกวนอูจะชอบขนมเปี๊ยะ
ม้าเส็กเทาของกวนอูหรือเจ้าพ่อม้า สร้างโดย พล.ต.ต.พระยาคทาธรบดีสีหราชบาลเมือง เจ้าพ่อม้ามีความศักดิ์สิทธิ์มาก คนนิยมนำผักหญ้ามาไหว้เจ้าพ่อม้า พร้อมเขย่าติ้ว กับกล่าวคำว่า *เฮงเฮงบ่วงเชี่ยวเฮง
ศาลเจ้าไต้เสี่ยฮุกโจ้วหรือศาลเจ้าพ่อเห้งเจีย วัดสามจีน ก่อตั้งสมัยรัชกาลที่2 องค์เจ้าพ่อเห้งเจียถูกอัญเชิญมาจากเมืองจีน ศาลเจ้าพ่อเห้งเจียเป็นจุดศูนย์รวมแห่งความศรัทธาของชาวไทยและชาวจีนในย่านเยาวราช
องค์เจ้าพ่อเห้งเจีย เป็นปางไต้เสี่ยฮุกโจ้ว คือปางสำเร็จเป็นอรหันต์แล้ว ประทับนั่งขัดสมาธิบนดอกบัว เป็นองค์เทพที่แกะสลักจากไม้มงคลโบราณ ลงรักปิดทอง มีอายุหลายร้อยปี
คาถาบูชา หลวงพ่อโสธร บทย่อ อิติ อิติ อิติ โสธโร นะโม พุทธา ยะ ยะธา พุธ โม นะ
วัดไตรมิตร หรือ วัดสามจีน มี "พระสุโขทัยไตรมิตร" เป็นพระพุทธรูปทองคำที่ใหญ่ที่สุด ประดิษฐานอยู่ สันนิษฐาน ว่าสร้างในสมัยสุโขทัย เป็นพระปางมารวิชัย แต่เดิม ประดิษฐานอยู่ที่วัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย
ตำนานเล่าว่าหลวงพ่อพุทธโสธร เป็นพระพุทธรูปหล่อสำริดปางสมาธิ หน้าตักกว้างศอกเศษ มีรูปทรงสวยงาม ได้แสดงปาฎิหาริย์ลอยน้ำมา มีผู้อัญเชิญขึ้นมาประดิษฐาน พระสงฆ์ในวัดได้นำปูนพอกเสริม จนมีลักษณะเช่นปัจจุบัน
หลวงพ่อพุทธโสธร เป็นพระพุทธรูปปูนปั้น ปางสมาธิ หน้าตักกว้าง 1.65เมตร สูง 1.48เมตร ฝีมือช่างล้านช้าง เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของฉะเชิงเทรา
วัดโสธรวรารามวรวิหาร หรือชื่อเดิม"วัดหงษ์" ตั้งอยู่ริมแม่น้ำบางปะกง เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร สร้างในสมัย กรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ในรัชสมัย พระนารายณ์มหาราช
วัดเสาธงทอง เป็นพระอารามหลวง ชั้นตรี ชนิดสามัญ ตั้งอยู่บนถนนฝรั่งเศส สถาปัตยกรรมในวัดเป็นสมัยอยุธยาตอนปลาย ในพระวิหารหลวงมี หลวงพ่อโต เป็นพระพุทธรูปประธาน ซึ่งเป็นพระศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองลพบุรี
วัดพิชัย ก่อสร้างเมื่อไหร่ ไม่ปรากฎ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ยกพลราว1,000 ตีฝ่าทัพพม่า ข้ามแม่น้ำป่าสัก มาชุมนุมพลที่วัดนี้ ต่อมาประมาณ รัชกาลที่4-5 ได้บูรณะวัด และได้ตั้งชื่อวัดว่า วัดพิชัยสงคราม
วัดสุวรรณดารารามราชวรวิหาร หรือ วัดทอง สร้างขึ้นสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช หน้าพระอุโบสถมีต้นพระศรีมหาโพธิ์ ว่ากันว่า นำมาจากพุทธคยา อินเดีย ภายในพระอุโบสถมีจิตรกรรมฝาผนัง รูปยุทธหัตถี
ด้านในพระปรางค์วัดราชบูรณะ ทางขึ้นพระปรางค์ไม่สูง แต่ชัน ทางลงไปกรุสมบัติค่อนข้างแคบ ด้านในอับ ยิ่งมาคนเดียวในวันที่ไม่มีนักท่องเที่ยว บรรยากาศวังเวงน่าดู
องค์พระศรีรัตนมหาธาตุสร้างปีพ.ศ.1917 ในรัชสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่1 แต่ไม่แล้วเสร็จ สมเด็จพระราเมศวร สร้างต่อจนเสร็จสมบูรณ์ พระปรางค์ได้พังทลายลง2ครั้ง จนมีสภาพดังที่เห็นในปัจจุบัน
เขาสมอคอนเป็นเสมือนสำนักตักสิลาในสมัยโบราณ เป็นที่อยู่ของสุกกทันตฤาษี อาจารย์ของพ่อขุนรามคำแหงและพระยางำเมือง เจ้าเมืองพะเยา เมื่อครั้งทั้งสองพระองค์ยังทรงพระเยาว์ ได้เสด็จมาศึกษาศิลปวิทยา ณ เขาสมอคอน
วัดเขาสมอคอน ตั้งอยู่บนเทือกเขาสมอคอน อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี เป็นวัดเก่าแก่ มีหลักฐานมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา มีเจดีย์ทรงลังกาย่อมุมไม้สิบสองที่ทำบัวกลุ่มรองรับองค์ระฆัง มีโบสถ์และมณฑปที่สวยงาม
วัดสันเปาโล เป็นวัดของศาสนาคริสต์ โดยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้พระราชทานที่ดินให้บาทหลวงฝรั่งเศส คณะเยซูอิตที่มาประจำ ณ เมืองลพบุรี ใช้เป็นที่ทำพิธีทางศาสนและเป็นที่พัก
คำว่าสันเปาโลคงเพี้ยนมาจากคำว่า เซนต์ปอลหรือแซงต์เปาโล"Saint Paolo" ชาวบ้านมักจะเรียกกันว่า ตึกสันเปาหล่อ ปัจจุบันเหลือเพียงซากของผนังหอดูดาวแปดเหลี่ยมเพียงบางส่วน กับฐานของอาคารที่พักและโบสถ์เท่านั้น
พ.ศ.2230 เดอ ลามาร์ วิศวกรชาวฝรั่งเศส ได้เขียนแผนที่เมืองลพบุรี ได้บรรยาย วัดสันเปาโลไว้ด้วย ว่ามีหอคอยแปดเหลี่ยม ตั้งอยู่ตรงกลางหน้าที่พัก ใช้เป็นที่สังเกตการณ์ดาราศาสตร์และศึกษาวิชาคำนวณ
พ.ศ.2529-30 กรมศิลปากรทำการขุดแต่ง ที่ฐานเจดีย์องค์ใหญ่ พบปฎิมากรรมในสมัยทวารวดี จึงได้รวบรวมเก็บรักษาไว้ใน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์ปี2478ได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานสำคัญสำหรับชาติ
วัดนครโกษา เป็นศาสนสถานที่สร้างซ้อนทับกันหลายสมัย ตั้งแต่สมัยทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่17 ส่วนพระอุโบสถวิหาร สร้างสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยเจ้าพระยาโกษาธิบดี(เหล็ก)เป็นแม่งาน จึงได้ชิ่อ"วัดนครโกษา"
วัดตองปุ เป็นวัดโบราณ ที่คงสภาพสมบูรณ์ วัดนี้เป็นวัดมอญ คำว่า ตองปุ แปลว่า เป็นที่รวมพลทหารที่จะไปออกรบ สร้างสมัยใดไม่ปรากฎ สันนิษฐานว่า ได้รับการบูรณะครั้งใหญ่ในรัชสมัย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ภายในวัดมีโบราณวัตถุที่สำคัญเหลืออยู่เพียงชิ้นเดียวในเมืองไทย คือที่สรงน้ำพระโบราณ หรือที่เรียกกันว่า "น้ำพุสรงน้ำพระ" เก็บรักษาไว้ที่วัดแห่งนี้
ภายในวัดจะมีก้อนหิน ก้อนใหญ่เรียงซ้อนกัน มีวิหารอยู่ด้านบน สมัยที่ยังไม่มีไฟฟ้า กลางคืนจะมีดวงไฟขนาดกำปั้น มีแสงนวลๆออกมาจากก้อนหิน แล้ววนรอบวิหาร ก่อนจะพุ่งหายไป ใกล้เช้าจึงจะกลับมา ปัจจุบันไม่มีแล้ว
วัดเขาแก้ว ก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ.2226 เจ้าอาวาสองค์แรก คือ พระอาจารย์ไกร จนกระทั่งปี พ.ศ.2329 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น วัดศรีรัตนคีรี เป็นวัดในสังกัด คณะสงฆ์มหานิกาย
ปัจจุบันในวัดพระรามเหลือแต่ซากปรักหักพัง อันประกอบด้วย พระปรางค์ กำแพงด้านหนึ่ง เสาในพระอุโบสถ และ วิหาร7หลัง
วัดพระราม คาดว่าสร้างในปี พ.ศ.1912 ในรัชสมัยสมเด็จพระราเมศวร ซึ่งเป็นบริเวณที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จพระรามาธิบดีที่1(พระเจ้าอู่ทอง) พระราชบิดา
วัดพลับพลาชัย เดิมชื่อวัดโคก หรือ วัดโคกอีแร้ง มีเรื่องเล่าว่า เดิมทีเป็นที่ประหารนักโทษ บางครั้งก็ปล่อยให้อีแร้งมากินศพประหาร บริเวณนี้จึงมีอีแร้งชุกชุม เลยเรียกว่า วัดโคกอีแร้ง
รัชกาลที่ 6 ได้ตั้งกองเสือป่ารักษาดินแดนขึ้น และได้มีการซ้อมรบ พระองค์ได้มาตั้ง พลับพลาเสือป่าขึ้นที่วัดนี้ ต่อมาวัดจึงเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "วัดพลับพลาชัย"
วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิด ราชวรวิหาร อยู่ในเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ตั้งอยู่ใกล้ สะพานกษัตริย์ศึก และสถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) อยู่รวมกับ โรงเรียนเทพศิรินทร์
รัชกาลที่5โปรดเกล้าฯให้สร้าง วัดเทพศิรินทราวาส เมื่อปี2419 ทรงอุทิศพระราชกุศลสนองพระเดชพระคุณแห่งองค์สมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี ซึ่งได้สิ้นพระชนม์ตั้งแต่รัชกาลที่5ยังทรงพระเยาว์
วัดเสมียนนารี ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.2400 ผู้สร้างวัด เป็นสุภาพสตรีในวัง มีตำแหน่งเป็นเสมียนพระคลังข้างที่ มีนามว่าท่านเสมียนขำ ต่อมาตำแหน่งนี้ได้ตกทอดมา ยังธิดาของท่าน วัดจึงได้ขนานนามว่า "วัดเสมียนนารี"
วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร เดิมชื่อวัดบางหว้าใหญ่ เป็นพระอารามหลวง ชั้นโทชนิดวรมหาวิหาร เป็นวัดโบราณ สร้างในสมัยอยุธยา สมัยรัชกาลที่1 ได้ขุดพบระฆังภายในวัด จึงได้พระราชทานนามว่า "วัดระฆังโฆสิตาราม"
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จมาถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดระฆังโฆสิตาราม ทรงมีพระราชดำรัสว่า วัดระฆังพอเข้าประตูโบสถ์พระประธานยิ้มรับฟ้าทุกที พระประธานจึงได้นามว่า "พระประธานยิ้มรับฟ้า"
สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พรหมรังษี) ได้เข้าฝันนายสุรพงษ์-นางอุบล ตรีรัตน์ ให้ไปเรียนพระธรรมปัญญาจารย์(ทิม อุฑาฒิโม)ให้ช่วยสร้างวัด มีพลโท สมาน วีระไวทยะ เป็นหัวเรือใหญ่ รวบรวมผู้มีจิตศรัทธา จนสร้างสำเร็จ
วัดพรหมรังษี เป็นวัดในการให้สร้าง ของสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พรหมรังษี) สืบเนื่องจากในอดีต สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังษี) ได้เดินธุดงค์และได้หยุดปักกลด ณ ที่แห่งนี้
